เทศน์เช้า

มนุษย์สอนเทวดา

๒ พ.ค. ๒๕๔๓

 

มนุษย์สอนเทวดา
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๔๓
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ประเสริฐกว่าเยอะเลย เรามองกันแค่เรื่องของคน แต่ไม่ได้มองใจของคน เรื่องศาสนาเราเกิดมาพบพุทธศาสนานี่ ศาสนาสอนตั้งแต่เรื่องพื้น ๆ ไปเลย จนถึงเรื่องที่สุด แล้วเวลาถ้าไม่มีศาสนาล่ะ? ถ้าไม่มีศาสนาทำไมเขาว่า “ทำไมพรหมไม่มาสอน?” คือว่าเทวดาทำไมไม่มาสอนมนุษย์ ทำไมพรหมไม่มาสอนมนุษย์

เราบอกเห็นไหม นี่ความเข้าใจของเขา เขาจะเข้าใจผิดไง เข้าใจว่าเทวดาหรือพรหมอยู่สูงกว่าเรา ต้องรู้เรื่องศาสนา เราบอก “ไม่ใช่หรอก ทำไมเทวดาหรือพรหมต้องมาฟังเทศน์ของพระพุทธเจ้าล่ะ?” ยังต้องมาฟังเทศน์พระพุทธเจ้า เห็นไหม ขนาดที่ว่าเขาเกิดเป็นพรหมหรือเกิดเป็นเทวดานี่ เหมือนเราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว เด็กขึ้นมาก็ต้องมาศึกษาเล่าเรียนใหม่ มาศึกษาเพื่อให้มีวิชาการขึ้นมา พอเกิดเป็นมนุษย์มา คือเป็นเด็ก เด็กก็เท่ากับเด็กเกิดใหม่ เพราะจิตนี้เวลาไปเกิด เด็กเกิดใหม่ก็ต้องมาเรียนวิชาการขึ้นมาถึงจะมีความรู้ จะฉลาดหรือไม่ฉลาดอยู่ที่ว่าการศึกษาเล่าเรียนมา

พรหมหรือเทวดาก็เหมือนกัน เวลาเขาตายไปเขาไปเกิดขึ้นมานี่ ไม่ใช่ว่าเป็นเรานาย ก. ศึกษาเรื่องศาสนา พอไปเกิดเป็นเทวดาแล้ว ไอ้ความศึกษานั้นยังมีอยู่ เราบอกว่ามันมีอยู่ส่วนหนึ่ง แต่เป็นส่วนที่ว่าขันธ์ ๕ ความจำ สัญญานี่ ความจำของเรานี่ สัญญาคือความจำได้หมายรู้ของเรา เราจำได้ แต่จำขณะอยู่เป็นมนุษย์นี่เดี๋ยวก็จำได้ เดี๋ยวก็ลืม แต่เวลาจะไปเกิดนี่ เป็นหลักสัจธรรมเลย วิญญาณปฏิสนธิ ไปเกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นพรหม เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน มันอยู่ที่วิญญาณปฏิสนธิ มันไม่ใช่วิญญาณในขันธ์ ๕ นี้ วิญญาณในขันธ์ ๕ นี่เพราะเราเกิดเป็นมนุษย์

เหมือนเราเกิดเป็นมนุษย์นี่ เราใส่ชุดอะไรล่ะ ตอนนี้เราเป็นข้าราชการ ใส่ชุดข้าราชการ เราก็เป็นข้าราชการ เราใส่ชุดไปรเวทอยู่บ้าน เราก็เป็นประชาชนอยู่ที่บ้าน อันนี้เกิดเป็นเทวดานี่ เพราะว่าเหมือนกับจิตดวงนั้น จิตที่เป็นปฏิสนธิวิญญาณน่ะ เป็นปฏิสนธิวิญญาณ แต่ไอ้ขันธ์ ๕ นี่มันเหมือนกับเสื้อผ้าไง เหมือนกับเสื้อผ้าคือมันห่อหุ้มร่างกายอยู่

นี่ก็เหมือนกัน มนุษย์นี่มีขันธ์ ๕ พอมีขันธ์ ๕ ขึ้นมา เป็นมนุษย์ใช่ไหม มีธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ เป็นมนุษย์ก็ใช้ความคิดของมนุษย์ แต่เวลาไปเกิดเป็นเทวดาขึ้นมา มันก็มีขันธ์ ๔ ไปเกิดเป็นพรหมก็เป็นขันธ์ ๑ เวลาเป็นขันธ์ ๑ ก็เหมือนเกิดใหม่ การเกิดใหม่ก็ต้องไปศึกษาใหม่ ฉะนั้นคือว่า พอศึกษาใหม่เขาถึงไม่รู้เรื่องศาสนา เรื่องศาสนามันถึงได้อยู่ที่ภพของมนุษย์นี้เท่านั้น พระพุทธเจ้า ก่อนจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก็ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์นี้ เพราะมนุษย์นี้มันมีโอกาสได้สุขและทุกข์ คือแบ่งแยกแล้วทำความดีและทำความไม่ดีได้ มนุษย์นี่

แต่เวลาเป็นเทวดานี่ มันเป็นความดีไปหมด คือว่ามีแต่บุญกุศล เป็นทิพย์สมบัติไปหมดเลย แล้วทิพย์สมบัติอยู่ ฉะนั้นเทวดาต้องดีหมด...ก็ไม่ใช่อีก เพราะเทวดานี่ สมมุติว่าคนเรานิสัยสันดานไม่ดี แต่ทำบุญกุศลอยู่ เคยทำบุญกุศลอยู่ เวลาไปเกิดไปเกิดเป็นเทวดา ไอ้จิตตัวนี้ สันดานเดิมนี่มันเป็นตัวที่พาขับพาถูพาไถไป มันก็ยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นเทวดาก็เป็นเทวดามิจฉาทิฏฐิ ฉะนั้นว่าเป็นเทวดามิจฉาทิฏฐิ ถึงว่าความคิดดั้งเดิมนี่เป็นมิจฉาทิฏฐิ แต่อาหารนั้นเป็นทิพย์ นี่อยู่ในความเป็นทิพย์ แต่มีมิจฉาทิฏฐิขึ้นมา ถึงยิ่งไม่รู้หนักเข้าไปใหญ่

ถ้าเป็นเทวดาที่ดี เทวดาที่สัมมาทิฏฐิ เขายังมีความเกี่ยว อยากจะมีแต่ความดีเว้นความชั่ว ยังแบ่งความดีความชั่วอะไรออก ทีนี้เป็นเทวดานี่มีฤทธิ์มีเดช ในพระไตรปิฎกถึงว่าเทวดารบกันไง เทวดาถึงยังรบกัน ยังมีเรื่องมีความบาดหมางกัน แล้วจะเอาอะไรมาสอนเรื่องศาสนา คนเขาเข้าใจว่า เกิดมาเป็นมนุษย์ มนุษย์มีความรู้ขนาดนี้ ถ้าเป็นเทวดา เป็นพรหมต้องมีความรู้ดีกว่าเรา

มันไม่ใช่มีความรู้ดีกว่าเราหรอก มันเป็นภพของเขา เขาก็มีสถานะอย่างนั้น เขามีความเห็นอย่างนั้น เขามีความสุขอย่างนั้น เพราะเป็นภพของผู้ที่ประเสริฐขึ้นมา ภพที่ไม่ใช่ภพที่ว่าอบาย อบายนี่มันความต่ำ อบายนี่มีแต่ความทุกข์ มีความทุกข์ขึ้นมานั้นก็ทุกข์กดขี่ไว้ แต่เป็นมนุษย์นี่มันหมายถึงว่า เป็นมนุษย์แล้วมันมีธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ มันมีกายกับใจ มันตรงนี้ กายกับใจ เวลาทุกข์ใจมีความเศร้าหมอง เวลาสุขใจมีแต่ความสบายใจ สุขใจ

นี่ความสุขใจ ความทุกข์ใจ แล้วก็มามีความทุกข์กาย มีความทุกข์ใจ ถ้ามีความปรนเปรอมันจนมันพอใจของมันนี่ มันจะมีความสุขกาย กายนี่ปรารถนาอย่างไรแล้วได้สมความปรารถนามันจะมีความสุขกายของมัน แต่เวลาทุกข์กายของมันล่ะ? นี่ความไม่พอใจหรือว่าความขาดแคลนของกาย มันก็มี ๒ อย่าง มีความทุกข์กายกับสุขใจ มันถึงให้เลือกได้ เลือกได้ว่าในเมื่อมาถึงโลกนี่ ถ้าเผลอ ถ้าลืม ไม่รู้จักตัวเอง มันก็จะแสวงแต่หรือมีแต่ความสุขกายเท่านั้น แต่ความสุขของใจคนหาไม่ถึง

ความสุขของกายคนแสวงหาได้ พอมันแสวงหาได้นี่ มันไม่คิดถึงแล้ว ไม่คิดถึงความดีความชั่ว ขอให้ได้มาก่อน ความได้มาก่อน ความได้มาส่วนความได้มา ความผิดความถูกอันนั้นอีกเรื่องหนึ่งไว้ทีหลัง ฉะนั้นถึงว่าหาแต่ความสุขกายมา ไม่เคยหาความสุขใจ ถ้าหาความสุขใจ นี่ไง มันถึงเข้าเรื่องหลักของศาสนา เรื่องหลักของศาสนานี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ธรรมขึ้นมา แล้ววางไว้ตามหลักความเป็นจริง มันมีอันนี้

นี่ในเทวดา ในพรหม มันไม่มีอันนี้ไง ไม่มีเรื่องอริยสัจ ไม่มีเรื่องความสุขใจจริง ใจที่มีความสุขจริงนี่หาขึ้นมาจากทำให้มันถูกต้องก่อน จากเริ่มมีความสุข เริ่มมีเงาของมันคือสัมมาสมาธิเข้ามา สัมมาสมาธิเข้ามายกขึ้นวิปัสสนาเข้าไป เริ่มตั้งแต่ทำสัมมาสมาธิขึ้นมา จิตมันมีความสงบเข้ามา มีความสุขเริ่มมา ความสุขนี่มันจะให้ผลมาตลอด นี่ความสุขใจ

แต่ความสุขใจอันนี้ มันมีแต่หลักของศาสนา เพราะว่ามรรคอริยสัจจัง มรรคนี้เครื่องดำเนินของใจ มรรคเครื่องดำเนินของกายนี้เครื่องดำเนินของกาย หลักนี้มันมีอยู่ที่พุทธศาสนานี้ มันอยู่ที่นี่ แล้วเรามาเกิดเป็นมนุษย์พบพุทธศาสนา มันถึงประเสริฐตรงนี้ไง ถึงว่าเรามาเกิดเป็นมนุษย์ พบพุทธศาสนาแล้วประเสริฐ

แต่ถ้าดูเรื่องของกายมันก็วนออกเรื่องกาย ถ้าย้อนกลับมาดูเรื่องของใจที่ว่าใจนี้มหัศจรรย์มาก ใจนี้แปลกประหลาดมาก ใจนี้เป็นเครื่องที่ใหญ่โตมาก ใจนี้สามารถชำระไปได้หมด เวลาอาจารย์บอกว่า “เวลาทำใจถึงที่สุดแล้ว ในเม็ดหินเม็ดทรายนี่ มันเข้าได้หมด ใจนี้ไม่มีอะไรมาเกาะเกี่ยว ไม่มีอะไรมาขัดขวางเลย ใน ๓ โลกธาตุนี้มันบรรจุได้ทั้งหมด ๓ โลกธาตุ”

แต่ถ้าเป็นปุถุชนอย่างเรา แม้แต่ความคิดขัดใจมันก็ขวางใจแล้ว แม้แต่แค่ความคิดขัดใจ เห็นไหม ความขัดใจของเรา ความไม่พอใจของเรา มันก็ขวางใจของเราแล้ว แล้วจะทำความสงบขึ้นมาได้อย่างไร นี่ความสุขใจ ใจนี้พอมันสุขขึ้นมาแล้ว เกิดตาย ๆ นี่จิต วิญญาณในขันธ์ ๕ วิญญาณรับรู้ มันสะสมมาขนาดนี้ นี่สะสมมา

แต่เวลาตายไปนี่ จิตปฏิสนธิอีกตัวหนึ่ง ตัวหนึ่งคือว่ามันย่อยสลายจากขันธ์เข้าไป ละเอียดเข้าไปจนเป็นจิต จิตดวงนี้พาเกิดพาตาย ถ้าจิตดวงนี้พาเกิดพาตาย คนที่เป็นคนไม่ดีก็แล้วแต่ แต่ทำบุญกุศลอยู่ คือว่านิสัยเขา เขาไม่เข้าใจว่าเขาเป็นคนไม่ดีนะ เขาเข้าใจว่าเขาเป็นคนดี แต่เขาไปทำลายคนอื่นขึ้นมาโดยที่เขาไม่รู้ตัว พอเขาไม่รู้ตัวเขาก็สร้างสมขึ้นมาในดวงใจนั้น แต่เขาทำความดี ความดีย่อยสลายไปในดวงจิตนั้น ดวงจิตนั้นยังพาไปเกิด

นี่เวลาพาเกิด นี่จิตปฏิสนธิวิญญาณ มันถึงว่ามันย่อยสลายลงไป บุญกุศลเป็นบุญกุศล แต่สันดานเป็นสันดาน แต่วิปัสสนานี่แก้ตรงนี้ แก้ตรงกิเลส ถ้ากิเลสมันหมดไป มันยังชำระสันดานไม่ได้ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่ชำระสันดานออกหมด จนขนาดที่ว่าเรียบร้อย ที่ว่าพระอรหันต์ต้องมีความสงบ มีความเป็นไป นอนสีหไสยาสน์ นี่มีพระพุทธเจ้าองค์เดียวเว้นไว้

...ไม่เว้นเลย แม้แต่พระสารีบุตรเป็นอัครสาวก เป็นผู้ที่รองจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเขานิมนต์ไปฉัน กระโดดข้ามคลองไปคลองหนึ่ง เขานิมนต์พระสารีบุตรไปฉัน แล้วเดินไปตามร่องสวนเขา ข้ามคลองไปคลองหนึ่ง เห็นว่าไม่สำรวม จะถวายผ้าไตรไง ก็ดึงออกชิ้นหนึ่ง เหลือ ๒ กระโดดอีกอันหนึ่ง ถวายเหลือแต่ผ้าสังฆาชิ้นเดียวแล้ว จนพระสารีบุตรรู้กำหนดใจน่ะ ถึงว่าเดินเรียบ ๆ ไป เขาถวายผ้าชิ้นเดียว

เขาจะถวายผ้าไตร คือผ้า ๓ ผืน เหลือถวายผืนเดียว แล้วไปฟ้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยว่า พระอัครสาวกไม่สำรวม พระพุทธเจ้าเรียกพระสารีบุตรมา แล้วก็เทศน์ให้ฟังว่า พระสารีบุตรนี้เคยเกิดเป็นวานรมาก่อน เคยเกิดเป็นลิงมาก่อน สัญชาตญาณของลิงยังมีอยู่ แต่ปัจจุบันนี้มาเกิดเป็นพระสารีบุตร นี่จิตมันย่อยสลายมา มันสะสมลงไปที่ใจ สันดานแก้ไขไม่ได้ สันดานคือความเคยใจ ใจนี่เคยเป็นอย่างไร ปฏิกิริยาของใจมันแสดงออกอย่างนั้น

แต่ไอ้ความทุกข์ ไอ้กิเลสที่พาเกิดขึ้นมานี่ ชำระล้างได้ในพุทธศาสนา ในพุทธศาสนานี่ มรรคอริยสัจจังชำระล้างออกไปเป็นชั้น ๆ เข้าไป เกิดเป็นมนุษย์ถึงได้มีใจด้วย มีกายด้วย แล้วมาพบพุทธศาสนานี่ เป็นที่ที่จะอิสรภาพไง อิสรเสรีภาพว่า เราจะทำดีก็ได้ ทำความไม่ดีก็ได้ อยู่ที่เรา อยู่ที่เราหมายถึงว่า ความเป็นอิสระตรงนี้

แต่ถ้าเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เขามีแต่ความสุขอย่างเดียว เขาแบ่งไม่ได้ คือถ้าขาวก็ขาวหมดเลย แต่ถ้าไปตกในนรกก็ดำหมดเลย ดำกับขาวแบ่งออกไม่ถูก นี้ความแบ่งออกไม่ถูกนี่ มันเลยแบ่งได้ด้วยความยาก ถึงเวลาฟังธรรม ผู้ที่ใฝ่ดีนี่ มาฟังธรรมพระพุทธเจ้า มาฟังธรรมพระอริยสาวก นี่มาฟังธรรม เทวดา อินทร์ พรหม ลงมาฟังธรรมมนุษย์นะ มนุษย์ที่เข้าใจอริยสัจ เห็นวิธีการทำอริยสัจให้เกิดขึ้นจากหัวใจ อริยสัจนั้นสามารถชำระเข้าไปในใจนี่ ใจนี่กลั่นออกมาจากอริยสัจ ขณะที่เป็นอริยสัจอยู่นี้ ใจกำลังดำเนินไปในอริยสัจ ใจเรานี่เป็นอริยสัจขึ้นมาเองในหัวใจเลย

แล้วเป็นอริยสัจแล้วประเสริฐไหม? ...ยัง ต้องปล่อยวางอริยสัจนั้นไว้ตามความเป็นจริง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นี่ถึงว่าใจนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจอีกทีหนึ่ง อริยสัจขณะที่เป็นไปน่ะ เป็นไป ใจนี่มันเห็นความเป็นอริยสัจนั้น แล้วทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ปล่อยวางไว้ตามความเป็นจริง ปล่อยออกมาเลย ปล่อยออกมาเป็นล้วน ๆ จิตใจล้วน ๆ อันนั้นสิประเสริฐ ใจดวงนั้นประเสริฐ เห็นไหม เกิดขึ้นมาจากกายกับใจ มีกายขึ้นมา มันติดในกาย มันติดทุกอย่าง พิจารณาตรงนั้น อันนี้มันของชั่วคราวไง

นี่ในภพหนึ่ง ในชั่วกาลหนึ่ง ในเวลาหนึ่งที่เราไปเสวยชาติไหน ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ ในหลักสัจจะตรงนี้ ฉะนั้นเทวดาหรือพรหมนั้นก็เป็นของชั่วคราว เขาก็มีความสุขความทุกข์เหมือนเรานี่แหละ เขาต้องตายไป ความสุขความทุกข์เกิด เห็นไหม ในเทวดา ในพรหมนี่มีแต่ความสุขล้วน ๆ แต่มีความทุกข์ตรงไหน? มีความทุกข์ตรงพลัดพรากไง ตรงที่กำลังจะตายไง ไม่ต้องการ ไม่อยากตาย

จนเทวดาเวลาจะหมดอายุขัยนะ ให้พรกัน “ขอให้เกิดเป็นมนุษย์เถิด” เพราะอะไร? เพราะได้ใช้พลังงานของบุญนี่เกือบหมดแล้ว ต้องกลับมาตกมาในข้างล่างอีก ตกมาข้างล่างก็ต้องมาเกิดใหม่ แต่ไปเกิดที่ไหนล่ะ ถึงบอกว่า เทวดานี้ในธรรมบท เทวดาเขาอวยพรกัน เวลาเทวดาจะหมดอายุขัย “ขอให้เกิดเป็นมนุษย์เถิด แล้วเกิดเป็นมนุษย์พบพุทธศาสนาด้วย” จะได้สร้างสมคุณงามความดีขึ้นมาเกิดเป็นเทวดาใหม่ไง

เห็นไหม ทุกข์ มีสุข สุขคือเขาเกิดอยู่ในทิพย์สมบัติ ทุกข์คือว่าเขาต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏวนเหมือนกัน เขาก็มีสุขมีทุกข์เหมือนเรา เพียงแต่ว่าปัจจุบันนี้เราเป็นมนุษย์ เราทำความดีอยู่นี้ เราก็ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์เหมือนกัน เราเป็นเทวดา ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติจริงเขาถึงไม่ต้องการปรารถนาแม้แต่เทวดาสมบัติ ไม่ปรารถนากามภพนี้ ไม่ปรารถนากามภพ รูปภพ อรูปภพ จะต้องพ้นออกไปจากวัฏฏะให้ได้ จะพ้นออกไปจากวัฏฏะเลย

นั่นน่ะถ้าพ้นออกจากวัฏฏะแล้วมีอยู่ที่ไหนล่ะ? ก็มีอยู่ในศาสนาของเราไง ในพุทธศาสนาที่เราเปล่งวาจาว่าเราเป็นชาวพุทธไง เราชาวพุทธ เราเชื่อในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ในศาสนธรรม อริยสัจนี้มีอยู่ในศาสนธรรม ศาสนาพุทธนี้เป็นศาสนาของผู้สิ้นกิเลส ศาสนาพุทธนี้เป็นศาสนาที่ประเสริฐ ศาสนาพุทธนี้เป็นศาสนาเดียวที่มีอริยสัจ มีมรรคอริยสัจจัง

“สุภัททะ เธออย่าถามให้มากไปเลย ไม่มีรอยเท้าบนอากาศ”

คือถ้าไม่มีเหตุไม่มีผล อากาศนี้มันเป็นอากาศ เป็นนามธรรม จะเอารอยเท้าไปวางไว้บนนั้นไม่ได้ ไปปะไม่ได้ รอยเท้านี้ต้องประทับไว้บนผืนแผ่นดิน หรือบนพื้นที่ว่า มีพื้นที่ที่ว่ารอยเท้าประทับได้ ในศาสนาไหนที่ไม่มีมรรค ในศาสนานั้นไม่มีผล มรรคอริยสัจจังไง ในอริยสัจ ในมรรคนี้ ถ้าในศาสนาไหนไม่มี แล้วในศาสนานี่ ในคัมภีร์เราไปค้น ในศาสนาอื่นไม่มีหรอก มีในพุทธศาสนาเราศาสนาเดียว

ฉะนั้นมีในพุทธศาสนา แล้วเราเป็นบริษัท ๔ ในภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เห็นไหม อุบาสก อุบาสิกา เราก็เป็นเจ้าของศาสนา “มารเอย ตราบใดภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ยังไม่สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่าง ๆ ได้ เมื่อนั้นเราจะไม่นิพพาน” จนถึงวันมาฆบูชา เห็นว่าบริษัท ๔ นี้เข้มแข็งขึ้นมาแล้ว มารดลใจไง “มารเอย อีก ๓ เดือนข้างหน้าเราจะปรินิพพาน บัดนี้ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงที่เขาจะมาโจมตีศาสนาได้ ภิกษุ ภิกษุณีมีหลักมีเกณฑ์ เข้าใจเรื่องนี้แล้ว แล้วเป็นพระอรหันต์ขึ้นมามากมายในศาสนาพุทธนี้แล้ว นี่อีก ๓ เดือนข้างหน้าจะปรินิพพาน”

เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากไว้ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เราก็เป็นอุบาสก อุบาสิกา อุบาสก อุบาสิกา ก็ต้องเป็นเจ้าของศาสนาสิ ก็เป็นชาวพุทธสิ เราเกิดในท่ามกลางศาสนา เราถึงว่ามนุษย์สมบัตินี้สำคัญมาก เราถึงมองที่ว่าเป็นเทวดาสำคัญ เทวดายังต้องลงมาฟังธรรม เราแค่จากขับรถมา จากเดินทางมาฟังธรรมเฉย ๆ เขาต้องเปลี่ยนจากสภาวะหนึ่ง จากภพของเทวดาลงมาภพของมนุษย์นี้ เพื่อมาฟังธรรมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาทุกข์กว่าเราไหม? การแสวงหาของเขาลำบากกว่าเราไหม? เราขนาดว่าแค่มาข้ามจังหวัดเท่านั้นเอง เขาข้ามภพข้ามชาติมาเพื่อฟังธรรม

นี่ไง การฟังธรรมนี้ถึงว่าเป็นสิ่งที่ทำให้เราหูตาสว่าง การฟังธรรมนี้ถึงได้ประเสริฐไง การฟังธรรมนี้แสนยาก พระพุทธเจ้านี้เกิดขึ้นได้แสนยาก เพราะพระพุทธเจ้านาน ๆ เกิดขึ้นองค์หนึ่ง การได้พบพระพุทธศาสนานี้แสนยาก การฟังธรรมแสนยาก แต่นี่มันไม่ยากเลย วิทยุเปิดทุกวัน ๆ นี่มันมองข้ามว่าเพราะเราเกิดเป็นมนุษย์แล้ว แล้วเราอยู่ในท่ามกลางของศาสนา เราไปอยู่ที่อื่นสิ จะมีได้ฟังอย่างนี้ไหม? ไม่ได้ฟังอยู่ดี

นี่ถึงว่าเรามองข้ามความเป็นมนุษย์ของเราไปไง ถ้าเราย้อนกลับมานี่ คือว่าให้ดูตัวเรา เราดีเราไม่ดีอยู่ที่ตัวเรา แล้วถ้าดูตัวแล้วก็ดูที่ใจของเรา เพราะใจของเรานั้นมันประเสริฐ ใจของเราถ้าได้สัมผัสมันจะเข้าใจแล้วประเสริฐขึ้นไป ๆ จนข้ามพ้นไป จนเห็นคุณค่าไง จนเห็นคุณค่าของศาสนา เห็นคุณค่าของใจ ใจนี้มหัศจรรย์มาก แล้วใจนี้อยู่ในท่ามกลางหัวอกของเรา ต้นทุนที่ว่ามีกายกับใจแล้วประพฤติปฏิบัติได้ตลอดเวลา เราถึงจะมองข้ามตรงนี้ไม่ได้นะ

ถ้าเรามองข้ามตรงนี้เราจะเสียดายโอกาส นี่ตายไปแล้วก็ต้องเวียนว่ายตายเกิด เขาเป็นเทวดา เป็นพรหม เขามีทุกข์มีสุขเหมือนเรา เขาจะตายเขายังต้องมีความทุกข์ แล้วเราก็เหมือนกัน อันเดียวกันเลย ไปตื่นเต้นตรงไหน เขากลับตื่นเต้นที่ว่าเรามีโอกาส เราทำได้ เขาไม่มีโอกาสอย่างเราต่างหาก เอวัง